[SECHSKIES] drabble – Red hair

**จากการย้อมผมเป็นสีแดงเถือกของอึนจีวอน และไอจีที่เคยแซะเจ้าหัวชมพูค่ะ 

 

ซองฮุนมองมือของเขา แล้วก็เงยขึ้นมามองหน้า แล้วก็ก้มกลับลงไปมองมืออีกครั้ง สีหน้างุนงงแบบที่เห็นจนชินตา

“อะไรอะพี่?”

จีวอนพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบ

“จับมือไง”

“ห๊ะ?”

เขามองคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่ใต้หน้าม้าของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ถอนใจ จำไม่ได้สักนิดจริงด้วย ก็บอกแล้วว่าถ้าคอไม่แข็งก็ไม่ต้องริอ่านดื่มให้มันมาก แล้วเจ้านี่เอาแต่พยักหน้าแต่ก็ไม่เห็นทำตามสักนิด

ครั้นจะรอให้ระลึกชาติได้ก็เปลืองเวลา เขาเลยตัดสินใจคว้ามือข้างที่ว่างของซองฮุนมาจับไว้ซะเอง

เจ้าหนูทำตาโต (จากที่โตอยู่แล้วก็ยิ่งโตเข้าไปอีก) ถึงขั้นที่เสียงที่หลุดปากออกมาไต่คีย์ขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ “อะไรเนี่ย?!”

เขาทำเป็นไม่สน พอจับมือได้ก็จูงคังซองฮุนให้เดินตามหลังเมมเบอร์คนอื่นออกมาจากหลังเวที นึกขำอยู่ในใจกับคนข้างหลังที่ถึงจะงงแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแล้วยังตามมาต้อยๆ อีก “ก็บอกว่าจับมือไง”

ระหว่างทางพวกเขาต้องหยุดให้สต๊าฟขนของผ่านหน้าไปก่อน จีวอนเลยได้โอกาสหันไปทันเห็นสีหน้าประหลาดที่เหมือนจะงงอย่างเดียวก็ไม่ใช่ จะว่าโมโหก็ดูเหมือนกำลังกลั้นยิ้มอยู่ “แล้วทำไมต้องจับมือด้วยอะ มันชื้นเหงื่อเนี่ยพี่ อย่างน้อยก็เช็ดมือก่อนได้ปะ”

“เดี๋ยวปั๊ดไม่ปล่อยไปตลอดทางเลยนี่” เขาขู่ฟ่อ “อยากรู้ว่าทำไมก็ลองนึกถึงเมื่อวานเอาเองสิ”

แค่เห็นคิ้วที่ขมวดเข้าไปอีกเขาก็รู้ได้เลย ต่อให้คืนนี้กลับไปนอนก่ายหน้าผากทั้งคืนซองฮุนก็ไม่มีทางจำได้แน่

ทีเมื่อวานยังวอแวใส่อยู่แท้ๆ วันนี้กลับมาทำลืม แล้วคนที่ยังจำได้แบบเขาจะทำยังไงล่ะทีนี้

 

เมื่อสามสิบชั่วโมงที่แล้ว

 

ปกติเขาจะเป็นฝ่ายดื่ม ส่วนซองฮุนจะเป็นฝ่ายกิน

วันนี้กลับกัน เขานั่งซัดเนื้อ ส่วนซองฮุนที่ปกติถ้าอิ่มแล้วก็จะมานั่งเป็นเพื่อนจ้อไปเรื่อย กลับมานั่งจิบไวน์แทน

ในตอนแรกก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่พอมองขวดไวน์ราคาไม่ได้ถูกที่พร่องลงไปค่อนขวดแล้วก็อดถามไม่ได้ “ซองฮุนนี่ นายดื่มเยอะไปแล้วมั้งวันนี้”

เจ้าของชื่อสบตาเขา จีวอนสบถในใจเบาๆ เอาแล้วไง ตาเริ่มลอยแล้ว รอยยิ้มพิฆาตยังอยู่แต่มันเพ้อๆ ยังไงพิกล

“แค่ไวน์เอง~ ไม่เมาเท่าไหร่หรอกน่า”

 

ก็ ‘แค่ไวน์เอง’ เนี่ย ดีกรีมันเท่าไหร่รู้บ้างมั้ยนั่น ได้แต่คิดในใจแต่ไม่พูดไปจะดีกว่า ลางสังหรณ์และประสบการณ์มันเตือนอยู่ในหัวว่าถ้าตอนนี้สะกิดอะไรหน่อยเดี๋ยวได้ฟังเสียงแจ้วๆ บ่นยาวเป็นชั่วโมงแน่ๆ รับรอง มาตั้งแต่เรื่องถูกห้ามไม่ให้ดื่มเยอะ ไปจนถึงเรื่องโดนซูวอนล้อ เรื่องแต้มไฝใต้ตาดีไหมหรือไม่ดี ลากยาวไปถึงเรื่องไซส์เสื้อของลูซี่ ถ้าลุกหนีก็โมโห กว่าจะง้อให้หายได้ก็เปลืองเหงื่อไปเป็นลิตร เป็นคนที่รับมือตอนเมาได้ยากจนน่าตีจริงๆ

ทางที่ดีก็คือปล่อยให้ดื่มไปจนกว่าจะหลับเองแล้วเตรียมยาแก้แฮงค์ไว้ให้พรุ่งนี้ แบบนั้นจะง่ายกว่า

 

เขาเพิ่งกลืนคำสุดท้ายเสร็จตอนที่มีอะไรบางอย่างมาแตะ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นซองฮุนที่ยื่นปลายนิ้วมาม้วนกับปอยผมหน้าของเขา จีวอนเห็นเงาสะท้อนสีแดงในดวงตาของอีกฝ่าย “สีสวยจัง”

เขายิ้ม ปล่อยให้อีกคนทำตามใจ “จะว่าสวยก็สวยดีหรอก แต่มันสะดุดตาเกินไป ออกบ้านไม่ได้เลยเนี่ย”

 

พอพูดแบบนั้นนิ้วที่เกี่ยวกับผมอยู่ก็ละออกไป จีวอนอ้าปากจะประท้วง เขาชอบสัมผัสที่อ้อยอิ่งแบบเมื่อครู่ แต่แล้วทำไมเจ้าตัวยุ่งถึงนั่งกอดอกอย่างนั้นล่ะ

“เข้าใจความรู้สึกผมแล้วใช่มะ”

เขากระพริบตา ใช้เวลาหลายวินาทีอยู่ถึงเข้าใจสิ่งที่ซองฮุนพูดถึง “อ้อ”

หมายถึงตอนที่ซองฮุนเป็น ‘หัวชมพู’ น่ะเอง

 

“แค่ ‘อ้อ’ สินะ”

“เข้าใจแจ่มแจ้ง” เห็นแก่หูตัวเองก็เลยรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ขนาดจะออกไปซื้อของยังไม่กล้าเลยรู้ปะ ลูซี่เห็นพี่กลับมาบ้านยังเห่าใส่เลย”

ซองฮุนย่นจมูกใส่ (เขาหักห้ามใจเต็มที่ที่จะไม่ยื่นมือไปบีบจมูกนั่น) “ก็ดีนี่นา ผมเองก็ไม่อยากเดินกับคนหัวแดงแจ๋แบบนี้หรอก”

 

พูดงี้ก็สวยสิ

 

เขากำลังจะโต้ตอบแต่ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ คำนี้มันคุ้นๆ อยู่นะ เหมือนใครสักคนเคยพูดไว้กับคนที่มีสีหัวแบบที่คนเดินถนนจะต้องมองเหลียวหลัง……

นั่นมันแคปชั่นที่เขาใส่ไว้ในไอจี รูปวันที่ไปถ่ายทำกันที่ปูซานไม่ใช่เหรอ

 

จีวอนสบตากลมโตที่มีแววเคืองแล้วก็หลุดยิ้มออกมา ที่พิมพ์ไปแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ สักหน่อย ถ้าหากไม่กล้าเดินด้วยแล้วจะกล้าถ่ายรูปไปได้ไง เขานึกว่าซองฮุนรู้ซะอีกว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น กลับกลายเป็นว่ายังเก็บมาคิดเอามันถึงตอนนี้หรอกเรอะ

“เรื่องนั้นโกรธจริงๆ เหรอ ฮุนอา”

คังซองฮุนเริ่มทำปากตามแบบฉบับเวลาโมโห ไม่ต่างไปจากเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้วสักนิด “ต้องยิ้มรับแล้วแยกตัวไปเดินห่างๆ รึไงล่ะ”

อ้าว เรื่องใหญ่ไปอีก

 

“นายก็ตอบกลับมาด้วยนี่นา” เห็นปากยื่นๆ นั่นแล้ว เขาก็ลืมเรื่องที่อาจได้หูชาถ้าไปสะกิดต่อมงอแงของคุณเมนโวคอลที่ชอบบ่นมากกว่าชอบร้องเพลงไปก่อน “ไหนบอกว่าเดินไปด้วยกันแล้วจะจับมือให้แน่นเลยไง จำไม่เห็นได้ว่าจับมือตอนไหน”

 

นั่น พอเตือนความจำเข้าหน่อย ถึงตาซองฮุนอ้าปากพะงาบๆ ตอบไม่ถูกบ้างแล้ว เขาหัวเราะ มองแก้มที่กลายเป็นสีแดงเรื่อไม่รู้เพราะอายหรือเพราะแอลกอฮอล์ ตอนนั้นซองฮุนตอบกลับไอจีด้วยรูปคู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าหนูของเขางอนติดค้างในใจอยู่นานหลายเดือนขนาดนี้เลย

 

“งั้นทางนี้ก็จะเอาบ้าง” เขานึกตัดสินใจขึ้นมาได้อีกเรื่อง สบตาที่สงสัยของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รู้ว่ารอยยิ้มกริ่มของตัวเองเป็นแบบเจ้าเล่ห์ที่สงวนไว้ใช้เฉพาะคน “นายไม่อยากเดินไปกับคนหัวแดงแจ๋ใช่มั้ย ถ้างั้นเวลาไปไหนนะ พี่จะจับมือนายแบบไม่ยอมให้หลุดเลย”

 

คำพูดของเขาที่ลอกมาเป๊ะๆ ทำให้สีหน้าของเจ้าของเหรอหราจนจีวอนหลุดหัวเราะลั่น เขาขยี้ผมของอีกฝ่ายที่ตอนนี้เป็นสีน้ำตาลแดงเล่น

“ไม่ทำตอนอยู่บนเวทีก็ได้ แต่ตอนลงมาถ้ายังไม่ยอมเดินด้วยกันอยู่ล่ะก็……”

 

ซองฮุนตะโกนสวนขึ้นมาก่อน “ผมกลับล่ะ! กลับแล้วดีกว่า! พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า!” แล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา เดินเซแท่ดๆ ซ้ายทีขวาทีไปทางประตู คนมองได้แต่กลั้นขำ เห็นใบหูจากข้างหลังแดงก่ำก็ยิ่งขำ เขาลุกตาม หยิบกุญแจรถมาไว้ในมือ เดินโซเซขนาดนี้ยังไงเขาก็ต้องพาไปส่งอยู่ดี

 

 

 

 

 

ปกติพวกเขาจะทะเลาะกันให้จบไปข้าง ถ้าไม่พลาดเองจริงๆ เจ้าซองฮุนนี่จะไม่หนีหรอกนะ

แต่ต่อให้หนี เขาก็ตามไปได้อยู่ดีนั่นล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวเองก็ไม่เคยปฏิเสธอะไรนี่นา

 

เหมือนอย่างตอนนี้ หลังเวทีงานมีตติ้ง ในวันที่เขากุมมือของซองฮุนไว้เหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

 

 

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานมาจากข้างตัว จีวอนหันไปเจอตาเบิกโตกับใบหน้าที่ซับสีเลือดของอีกฝ่าย เขาหลุดยิ้ม

“จำได้แล้วสิ?”

เจ้าคังเชอร์รี่อ้าปาก แล้วก็ปิดปาก แล้วก็อ้าปากอีกที อุบอิบออกมาได้ไม่กี่คำ “………….แต่ผมไม่ได้จับมือจริงๆ สักหน่อย”

“เผอิญฉันเป็นพวกรักษาคำพูดไง”

 

ซองฮุนฟังแล้วกลอกตาใส่เขา น่าหมั่นเขี้ยวหมั่นไส้จนต้องจับมือให้แน่นขึ้นเป็นการเตือน

“อยู่บนเวทีมาด้วยกันทั้งวัน ป่านนี้ไม่อายแล้วล่ะ ปล่อยมือเถอะ”

“กลัวหนี” เขาตอบสั้นๆ

 

อันที่จริงไม่ต้องกลัวหนีก็ได้

ก็คนพูดน่ะบอกให้ปล่อย แต่กลับจับมือตอบเขา แน่นเหมือนเป็นคนเอ่ยปากพูดเองด้วยซ้ำ

 

จีวอนมองรอยยิ้มพิฆาตของคนข้างๆ เขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากยิ้มตาม

อันที่จริงเขาไม่เคยคิดจะย้อมผม ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนๆ ร้องขอก็จะไม่มีวัน ทั้งอย่างนั้นก็ยังอดเกลียดสีผมตัวเองตอนนี้ไม่ได้

แต่ไออุ่นจากมือที่ประสานกันอยู่ ก็ทำให้คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

 

 

 

“ว่าแต่ พี่คิดยังไงถึงเลือกสีแดง?”

“ก็ใครบางคนบอกว่าชอบสีแดง ไม่ใช่รึไง”

เรื่องนี้ถูกเขียนใน RPF [Real person fiction] และติดป้ายกำกับ , , , , , , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

มาสิจ๊ะมามะ ♥