[#ฟิคตัวร้ายฯ] 1 – 4

Warning : Major character death และมี SPOIL เด้อ

1

 

ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นสีหน้าของลั่วปิงเหอ เขาก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

เสิ่นชิงชิวใช้ประสบการณ์การเก๊กตลอดสิบปีทำหน้านิ่งกลบเกลื่อนเสียงสัญญาณเตือนภัยในใจ พอถามเจ้าเด็กนั่นว่าเป็นอะไรทำหน้าเหมือนมีใครตายด้วยภาษาที่สละสลวย ลั่วปิงเหอก็ตอบเขากลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ปิดความกังวลไม่มิดว่า

“ซือจุน นี่ยามเหม่าสองเค่อแล้วขอรับ”

เขากระพริบตา ถามว่าเป็นอะไรกลับตอบเวลามาซะงั้น ยามเหม่าแล้วมันยังไงกัน ตื่นตีห้ามาฟังเสียงนกกาแล้วมันไม่ดีตรงไหน เขายังกลุ้มใจว่าจะโดนระบบหักคะแนนความสง่างามของเสิ่นชิงชิวที่ตื่นสายขึ้นทุกวันๆ เลย

ลั่วปิงเหอคงแปลสีหน้าของเขาออก ค่อยๆ เสริมออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาไม่มั่นใจที่ไม่ได้เจอมานานแล้วว่า

“เป็นยามเหม่าของอีกวันหนึ่ง ซือจุน ท่านหลับไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ข้าเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น”

“…………”

เอาล่ะ เป็นปัญหาแล้วงั้น

 

ช่วงหลังๆ มานี้เสิ่นชิงชิวรู้สึกง่วงบ่อย แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจในเมื่อยังแอบงีบกลางวันได้ (ใครใช้ให้ราชาภพมารเก่งงานจิปาถะกันล่ะ มันต้องแลกกันบ้างสิ หมอนั่นเสียแรงกายเปลืองสมอง ส่วนเขาเนี่ยเสียตั- แค่กๆ) แล้วพอตื่นก็สดชื่นดี ถึงจะสายไปไม่นิดก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ขนาดระบบยังไม่หักคะแนนอย่างที่กลัวไว้ เสิ่นชิงชิวก็เลยทำตามใจชอบ อยากจะหลับลึกเมื่อไหร่ก็หลับ แล้วก็ตื่นเมื่ออยากจะตื่น แต่หลับไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนนี่เกินไปจริงๆ แล้ว

 

เขาพาลั่วปิงเหอเดินทางกลับชางฉยงซาน ตอบรับทุกคำต้อนรับที่อบอุ่น ปะทะฝีปากกับหลิ่วชิงเกอนิดหน่อย ห้ามทัพระหว่างศิษย์ไป่จั้นเฟิงกับลั่วปิงเหอที่จนป่านนี้ยังไม่คืนดีกันอีกพอหอมปากหอมคอ แล้วก็ย้ายก้นตัวเองมานั่งอยู่ที่เชียนเฉ่าเฟิง ให้มู่ชิงฟางจับชีพจรให้

ชีพจรเขาปกติดี พลังทิพย์ก็โคจรไหลเวียนราบรื่น มู่งชิงฟางตรวจซ้ำถึงสองครั้งก็ยังได้ผลตามเดิม เสิ่นชิงชิวเลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก อาจจะเป็นที่วันๆ เขาเอาแต่ทานอาหารฝีมือลั่วปิงเหอ ตบท้ายทุกมื้อด้วยของหวานฝีมือลั่วปิงเหอ ลุกมาดีดฉินเบาๆ อ่านหนังสือปีศาจอ่านนิยายไปเรื่อยเปื่อย เดินดูโน่นนี่ด้วยท่าทีเชื่องช้าสง่างาม จากนั้นก็กลับบ้านมากินข้าวต่อด้วยของหวาน ครบจบสามมื้อแล้วตามด้วยของว่างก่อนนอน…

 

อืม เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงจะตายเพราะไขมันอุดตันไม่ได้นะ

 

เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าหลังจากนี้ต้องเริ่มออกกำลังกาย ขยันโคจรพลังสม่ำเสมอ แล้วก็เลยฉวยโอกาสใช้เหตุผลนี้งดกิจกรรมยามค่ำคืนซะเลยจะได้ไม่เพลีย เจ้าหมาตะกละยอมแต่โดยดี แม้จะมองด้วยน้ำตาเต็มสองเบ้าก็เถอะ

มันก็ได้ผลดีในช่วงสองอาทิตย์แรก แม้จะไม่ได้ตื่นเร็วขึ้นเท่าไหร่ แต่นอนข้ามวันข้ามคืนไม่มีแล้ว เหมือนจะจบปัญหาใช่มั้ย

 

ถ้าไม่ใช่ว่ามีอยู่คืนนึงเขาตื่นมานั่งมองร่างตัวเองอยู่ข้างเตียงน่ะนะ

 

เขาได้แต่นั่งแบบโง่งม มองหน้าเสิ่นชิงชิวที่หลับพริ้มอยู่บนเตียงข้างลั่วปิงเหอ เออ มองแบบนี้สองคนนี้ก็เหมาะสมกันดี เพิ่งรู้ว่าผู้ชายตัวโตๆ สองคนกอดกันก็ไม่ได้ขัดตาอย่างที่คิ— เดี๋ยว ใช่เวลาเหรอ นี่มันอะไรกันวะ ทำไมตูถึงหลุดจาก FPV* มาเป็น TPV** ได้ แล้วจะพยายามเอื้อมมือหยิบจับสิ่งของอะไรก็ทะลุผ่านไปหมด ไม่ตลกนะ ระบบ ระบบว้อย

 

แทนที่จะได้ยินเสียงแบบกูเกิ้ลทรานสเลทอย่างที่เคยคุ้นตอบกลับมา เสิ่นชิงชิวได้ยินเสียงแคร่กๆ เหมือนอินเตอร์เน็ตที่ต่อไม่ติดแทน

ในตอนที่คิดว่าจะต้องทำยังไงดี ร่างกายก็รู้สึกเบาหวิว เท้าค่อยๆ ลอยจากพื้น

เดี๋ยวนะ เปลี่ยนเป็น TPV ยังไม่พอ ตอนนี้จะได้เป็น Bird’s eye view*** ด้วยเหรอ นี่เอ็งเห็นตูเป็นผู้เล่นทดลองระบบเกมใหม่เหรอ ไหนว่าเป็น VIP แล้วไง เดี๋ยวก่อน สูงไปไหม เดี๋ยว อีกนิดก็ถึงเพดานแล้วนะ ถ้าหากหลังคาทะลุขึ้นมาก็ไม่มีหน้าไปบอกอันติ้งเฟิงแล้วนะว่าทำไมมันพังบ่อยเหลือเกิน รอก๊อน

อีกนิดเดียวที่ปลายจมูกจะแตะกับหลังคา เขาก็ถูกกระชากหงายหลังเหมือนถูกดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์ แรงมหาศาลนั่นดึงเขากลับลงมาเบื้องล่าง แผ่นหลังกระทบกับที่นอนอย่างแรงแต่กลับไม่เกิดเสียงเลยแม้แต่นิด

 

พริบตาถัดมา เสิ่นชิงชิวก็ลืมตาสบกับดวงตาแดงก่ำของลั่วปิงเหอ

 

“ชิงชิว ชิงชิว ท่านตื่นแล้ว” แขนทั้งสองข้างของจอมมารกอดเขาไว้ แน่นหนารุนแรงเสียจนเริ่มรู้สึกเจ็บ เขาจับได้ว่าเสียงของลั่วปิงเหอสั่นพร่า “ท่านไม่หายใจ ข้าเรียกอยู่นานกว่าท่านจะลืมตา”

กับเจ้าเด็กนี่ที่ผ่านเรื่องแย่ๆ มาเยอะมากแล้ว จู่ๆ เขาหยุดหายใจไปเสียเฉยๆ จะตื่นตกใจหมดมาดขนาดนี้ก็ไม่แปลก เสิ่นชิงชิวลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม สูดลมหายใจลึกพยายามตั้งสติของตัวเองแล้วขยับปากแห้งผากเอ่ยคำ “ตอนนี้ข้าตื่นแล้ว”

ลั่วปิงเหอไม่ไว้วางใจโดยง่าย “ข้าจะไปตามอาจารย์อามู่”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมออกมา “เชิญซั่งชิงหัวมาด้วย”

 

———————————————————————————–

*FPV, TPV และ Bird’s eye view คือศัพท์เกมใช้เรียกมุมมองกล้องของผู้เล่น
FPV* คือ First person view เป็นมุมมองแบบผู้เล่นอยู่ในตัวละคร มองผ่านดวงตาตัวละคร
TPV** คือ Third person view เป็นมุมมองแบบบุคคลที่สามมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะอยู่ข้างอยู่หลังตัวละครก็ได้
Bird’s eye view*** เป็นมุมมองจากข้างบนเหมือนนกมองลงมา เหมือนเกมโปเกมอน

 

 

2

 

อย่างที่คิดว่าพ่อคนดีเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พอฟังอาการของเขาก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาขาดน้ำ ยื่นหัวมากระซิบว่าหรือจะเป็นอีเวนท์ใหม่ เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไปจากแนว YY กลายเป็น BL ขนาดนี้แม้แต่คนแต่งก็เดาทางไม่ถูกแล้ว แต่ซั่งชิงหัวก็ยังคงยืนยันกับเขาว่าในเรื่องที่ความยาวเกินกว่าล้านตัวอักษรที่ลงมือลงแรงแต่งไปไม่มีฉากวิญญาณออกจากร่างมานั่งมองหน้าตัวเองแน่นอน

 

จู่ๆ หมอนั่นก็ทำสีหน้าตระหนกตกใจ ขยับหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่เกรงใจโม่เป่ยจวินที่มายืนกอดอกทำหน้าทมึงทึงเป็นแบคกราวด์อยู่ข้างหลังบ้างเลย “กวาซยง หรือว่านี่จะ.. เป็นแบบนั้น แบบที่เห็นบ่อยๆ”

สายตาโม่เกอทิ่มแทงเป็นน้ำแข็งแล้ว เขาใช้ด้ามพัดยันหน้าผากที่เข้ามาใกล้เกินความจำเป็นออกไปอีกหน่อยแล้วค่อยกระซิบ “อะไรอีกล่ะ”

“แบบ…” ผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันมาหลายปีอึกอักก่อนตอบเสียงอ่อย “แบบที่ในเกมใกล้ฉากจบก็มีให้เห็นบ่อยๆ ว่าเพราะมาเข้าร่างคนอื่น วิญญาณเกิดเข้าไม่ได้กับร่างกายขึ้นมา ก็เลยกำลังจะถูกส่งกลับไป อะไรทำนองนี้”

 

อืม มันก็จะมีพล็อตทำนองนั้นอยู่เหมือนกันสินะ แบบที่ทุกอย่างกำลังจะจบลงอย่างมีความสุข แต่แล้วนางเอกหรือพระเอกก็ถูกเรียกตัวกลับไปโลกเดิม ให้รู้สึกเหมือนมันเป็นฝันตื่นหนึ่งหรือเปล่า แล้วก็แบ่งตอนจบเป็นรูทแฮปปี้ที่ไปเจอคนยุคเดียวกันที่มีใบหน้าเดียวกันเปี๊ยบ จำได้ก็รักกัน จำไม่ได้ก็ผ่านอุปสรรคแล้วรักกันอยู่ดี รึไม่ก็เป็นรูทจบเศร้า มันคือความทรงจำที่สวยงาม แล้วเพลงจบบัลลาดก็ขึ้น…

 

ได้ซะที่ไหนฟะ

ก็ร่างเดิมของเขาตายแล้วมั้ยล่ะ กลับไปจะให้ไปอยู่ไหน วอล์คกิ้งเด๊ด****เหรอ

 

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนแต่ที่วิญญาณหลุดออกมาจากร่างเนื้อก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี ปิงเหอมีสีหน้าคร่ำเครียด ทั้งคืนไม่ต้องได้นอนพักผ่อนเพราะห่วงว่าเขาจะหยุดหายใจไปอีก เสิ่นชิงชิวก็เครียดไม่แพ้กัน ร่างกายเขาแข็งแรงดีทุกอย่าง จะพลังทิพย์หรือปราณต่างไม่มีอะไรถดถอย แต่ความอ่อนเพลียง่วงนอนกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน มู่ชิงฟางที่ตรวจได้แต่รักษาไม่ได้ก็เครียดด้วยอีกคน จากนั้นไม่รู้ไปยังไงมายังไง ข่าวค่อยๆ แพร่ออกไปผ่านทางลูกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงที่ก็เครียดเพราะอาจารย์ป่วยเป็นโรคประหลาดที่รักษาไม่หาย สุดท้ายทั้งชางฉยงซานเลยดูหมองหม่นไปกันหมดเลย

แน่นอนว่าธรณีประตูเรือนไผ่เขียวโดนเหยียบย่ำจากคนที่มาเยี่ยมเยือนจนแทบหัก เสิ่นชิงชิวล่ะอยากฟาดพี่ใหญ่ตัวตั้งตัวตีแบบหมิงฟานนัก แต่พอคิดอีกทีเขาคงไม่มีวิธีไหนจะแจ้งข่าวเรื่องอาการของตัวเองออกไปได้เร็วขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเอาเถอะ ก็ดีเหมือนกัน

เพราะนอกจากจะมาเยี่ยม หลายคนยังหาวิธีช่วยเหลือมาจนเขาซาบซึ้งใจเกินจะกล่าว อดีตตัวร้ายกากๆ แบบเขากลับได้มิตรภาพมากมายขนาดนี้ เรียกว่าเหนือความคาดหมายเลยก็คงได้

เยวี่ยชิงหยวนรุดมาเป็นคนแรกๆ ยกโสมพันปีกับบรรดาของบำรุงให้มาอย่างไม่เสียดาย ทั้งยังออกคำสั่งให้คนในสำนักตามหาผู้มีพลังแก้ไข มู่ชิงฟางนั้นจมกองหนังสือแพทย์ไปแล้ว เจ้ายอดเขาอื่นๆ รวมถึงศิษย์ต่างเขาแวะมาเยี่ยมมาดูแลจนเขาแทบหายใจไม่ออกเพราะความเขินจุกคอ

 

มีแต่หลิ่วชิงเกอที่มาเยี่ยมในวันแรกที่รู้ข่าว จากนั้นก็หายไปเลย กลับมาอีกทีสิบกว่าวันให้หลังก็ล้วงเอาหญ้าต้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เอ่ยเรียบๆ

“หญ้าหิมะชุบฟื้นคืนวิญญาณ เจ้าลองดู”

เสิ่นชิงชิวอยากจะกัดแขวะซั่งชิงหัวที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ปลายเตียงเรื่องเซนส์การตั้งชื่อห่วยแตก แต่เขาซึ้งน้ำใจหลิ่วชิงเกอมากกว่าที่จะเสียเวลาทำเรื่องแบบนั้น มองดูดีๆ แล้ว ศิษย์น้องคนนี้มีท่าทีเหนื่อยอ่อน ตามลำตัวก็มีบาดแผลหลายแห่ง ทั้งที่ไม่มีสิทธิและสวัสดิการของพระเอกแบบลั่วปิงเหอแต่กลับบากบั่นฝ่าฟันเพื่อศิษย์พี่คนหนึ่งมากถึงเพียงนี้ เขากลับไม่เคยได้ตอบแทนอีกฝ่ายเลย

“ข้าทำศิษย์น้องหลิ่วลำบากหลายครั้งแล้วจริงๆ”

หลิ่วชิงเกอฟังเสียงแผ่วเบาของเขาแล้วก็นิ่วหน้า “แล้วนี่อาการเป็นอย่างไร”

แม้แต่ไหนแต่ไรเสิ่นชิงชิวไม่มีนิสัยปิดบังบิดเบือนความจริง แต่เห็นสีหน้าแบบนี้ก็อดรู้สึกปวดใจแทนขึ้นมาบ้างไม่ได้ ก็เลยเฉไฉไปอีกทาง “สบายดี ก็แค่วันทั้งวันต้องรับแขกอยู่ตลอดเสียงเลยแห้งไปบ้างเท่านั้น อันที่จริงต้องถามถึงเจ้ามากกว่า นี่เจ้าไปทำ-”

“ตื่นสบายดี ยามนอนล่ะ”

 

โวะ ถ้าไม่ฟังให้จบประโยคแล้วจะถามทำแป๊ะอะไรพี่

 

ซั่งชิงหัวแทรกขึ้นมาตอนนั้นพอดี “ลั่วปิงเหอถ่ายพลังมารคุ้มตัวไว้ไม่ให้กายทิพย์หลุดไป ข้าเองก็คอยเฝ้าอยู่ ศิษย์พี่หลิ่วไม่ต้องห่วง ท่านรีบไปรักษาเถอะ แผลที่แขนท่านเปิดแล้ว”

เสิ่นชิงชิวเลิกคิ้วใส่ ความรู้สึกเหมือนนักเรียนที่จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องขี้อายขี้แหยลุกมาพรีเซนท์หน้าห้องด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจยังไงยังงั้น พอเหลือบไปเห็นแขนหลิ่วชิงเกอที่ถลึงตาเป็นยักษ์มารแต่ไร้คำจะพูดอยู่ข้างๆ มีเลือดซึมผ่านผ้าออกมาแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้ารักษาตัวให้ดีเถอะ สำหรับหญ้านี้ขอบใจมาก”

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วหมุนตัวจะออกไป เสิ่นชิงชิวยังทันได้กล่าวต่อ

“ข้าเสิ่นชิงชิวไม่รู้ทำบุญอะไรไว้ถึงได้พบพานศิษย์น้องเช่นเจ้า”

คำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของเขา หลิ่วชิงเกอถึงขั้นหันกลับมามองด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ อ้ำอึ้งได้ครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบกลับเสียงฝาดเฝื่อน “เจ้ารีบหายเถอะ จากนั้นจะให้ไปทำบุญเพิ่มให้หนำใจ เอาให้ได้พบน้ำหน้าอย่างข้าไปทั้งชาติ”

 

ผู้มาเยือนจากไปแล้ว เสิ่นชิงชิวยังมองประตูอยู่ เขาทอดถอนใจ แม้ในชีวิตแรกเขาจะอาภัพเพื่อนเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย แต่ในชีวิตที่สองยังอุตส่าห์ได้รับมิตรภาพที่ช่วยเหลือกันด้วยใจจริงขนาดนี้อยู่ แม้ชีวิตนี้จะสั้นนักก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

ซั่งชิงหัวนั่งหัวเราะเหอะเหอะอยู่อีกมุมหนึ่ง “กวาซยง บางทีผมก็ไม่รู้นะว่าคุณเนี่ยฉลาดหัวไวหรือโคตรบื้อกันแน่”

เอ๊ะ นี่มันหลอกด่ากันนี่หว่า มารดามันสิ เสิ่นชิงชิวกระพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันเถียงคืนเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงก็ประคองหญ้าในมือออกประตูไปแล้ว

 

ชางฉยงซานเป็นสำนักเซียนก็ค้นหาในทางของเซียน ส่วนลั่วปิงเหอออกไปเสาะหาปรมาจารย์มารผู้มีชื่อเสียงทางวิญญาณหลายต่อหลายคนมาช่วยรักษา แม้ตัวไม่อยู่แต่ถ่ายพลังมารของตนลงในจี้หยกกวนอิมปลอมให้คล้องคอไว้ทำให้สภาพวิญญาณหลุดออกจากข่ายพลังมารที่คลุมกายเนื้ออยู่ไม่ได้ ถึงอย่างไรร่างกายที่ไม่ใช่ของเขาก็ย่อมไม่ใช่อยู่ดี แม้จะฝืนทนอย่างไรเสิ่นชิงชิวก็หลับใหลยาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งคืนเป็นหนึ่งวัน จากหนึ่งวันเป็นสองวัน จากสองวันบางครั้งก็เป็นสี่วัน ทุกครั้งที่ลืมตาจะพบใบหน้าของหลายคน บางคนยังฝืนยิ้มให้เช่นหนิงอิงอิง บางคนเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่งเช่นหลิ่วชิงเกอ บางคนมีสีหน้าเศร้าสร้อยน้ำตาจะหยดแหล่มิหยดแหล่ พักหลังๆ มานี้กลุ่มหลังยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนฉีชิงซีต้องมาไล่ตะเพิดไปเพราะกลัวจะทำให้เขาใจคอไม่ดี เขาได้แต่หัวเราะให้ภาพนั้น ไม่อยากบอกนางว่าใจคอเขาไม่ดีมาได้สักพักแล้ว

 

ส่วนลั่วปิงเหอ ปิงเหอของเขา…..

เติบโตขึ้นขนาดนี้เมื่อไหร่กันนะ ทุกครั้งที่เขาตื่นมาเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่มุมปาก เห็นปิงเหอรับปากหนักแน่นว่าไปครั้งนี้จะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยไม่ให้มีอันตราย ทุกครั้งที่ปิงเหอน้อมกายส่งปรมาจารย์คนแล้วคนเล่าที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ แล้วยังหันกลับมามอบรอยยิ้มให้เขา ปลอบใจเขาว่าคนนี้ไม่ได้คนหน้าก็ยังมี ให้เขาเชื่อใจและวางใจ ให้รออีกสักนิด

ลั่วปิงเหออาจคาดไม่ถึงว่าเสิ่นชิงชิวเชื่อใจแล้ว วางใจแล้ว วางชีวิตไว้ในมือของเขาแล้ว ดีไม่ดีจะมากกว่าที่เชื่อใจตัวเองเสียอีก

ทว่าเวลาที่ให้รอคอยอาจจะไม่มีเหลือแล้ว

 

———————————————————————————–

The Walking Dead**** ซีรี่ส์อเมริกัน แนวซอมบี้เต็มโลก ฟาดสนั่นเลือดสาด

 

 

3

 

ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าวิญญาณตนผิดปกติ เขาสังเกตว่าไม่เคยฝันเลย มักจะหลับไปลึกแล้วลืมตาตื่นเหมือนเพิ่งได้หลับตาลงไป แต่ว่าครั้งนี้เขารู้สึกตัวว่าตนเองกำลังล่องลอยในที่ว่างที่เป็นโฮโลแกรม ในความมืดไร้ที่สิ้นสุดมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตัวเอง

เขากำลังคิดว่านี่มันคุ้นเหมือนเคยเจอตอนไหน เสียงคอมพิวเตอร์สังเคราะห์ก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง

『ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบกู้ข้อมูลฉุกเฉิน』

 

เชี่ย เขานึกว่ามันพังไปแล้วซะอีก ก่อนหน้านี้เขาส่งเสียงเรียกระบบแทบทุกวันแต่นอกจากเสียงเหมือนต่อเน็ตไม่ติดก็ไม่มีการตอบรับเลย พอถามซั่งชิงหัว ระบบของหมอนั่นกลับทำงานตามปกติเสียจนถ้าหากโลกนี้มีโทรศัพท์เขาต้องโทรไปโวยกับฮอตไลน์ศูนย์บริการหลังการขายแล้วว่าทำไมระบบของเขาที่ใหม่กว่ามันพังง่ายดายปานนี้

 

“คุณหายไปไหนมาตั้งนาน ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ ผมกำลังประสบปัญหาเร่งด่วนเลยตอนนี้ ขอตัวช่วยหน่อย”

『ระบบขอยืนยันข้อมูล ท่านลงทะเบียนผูกติดกับบทตัวละครเสิ่นชิงชิว』

“ใช่แล้ว ลงทะเบียนไปแล้วยังจะยึดคืนได้อีกเหรอ แบบนี้เอาเปรียบลูกค้าไปไหม”

『ทางระบบความปลอดภัยได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่าท่านเคยโยกย้ายไอดีไปสู่ตัวละครตัวใหม่โดยไม่ผ่านระบบ』

“…..”

『จากนั้นท่านได้กลับสู่ตัวละครเสิ่นชิงชิวอีกครั้งโดยไม่ผ่านระบบเช่นเดียวกัน』

“…..”

นั่นมัน เมื่อครั้งนั้นเขาทำเพื่อเอาตัวรอด แถมครั้งหลังตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำเองสักหน่อย มันกลายเป็นความผิดขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นเขาก็คงระเบิดตู้มตายไปตั้งแต่ที่เมืองฮวาเยวี่ยแล้ว ระบบก็ต้องตกงานมั้ยล่ะ นี่เขาช่วยระบบไว้ไม่ให้ไม่มีงานทำเชียวนะ ทำไมถึงกลายเป็นโดนสาธยายสิ่งที่ทำเหมือนเป็นนักเรียนที่กำลังจะโดนครูปกครองลงโทษเลยล่ะ

 

『การกระทำของท่านทำให้เกิดความขัดข้องในระบบ อาจเป็นผลให้เกิดข้อผิดพลาดในการลงทะเบียนซึ่งอาจมีผลทำให้ท่านหลุดจากตัวละครที่ลงทะเบียนไว้ ท่านอาจจะถูกส่งกลับไปยังโลกเดิมของท่านโดยอัตโนมัติ』

 

หลุดจากตัวละครที่ลงทะเบียนไว้ หลุดจากร่างกายของเสิ่นชิงชิว กลับเข้าสู่ร่างของเสิ่นหยวน

ร่างของเสิ่นหยวนที่ตายไปแล้ว

นั่นแสดงว่าเขาจะต้องตายอีกครั้งงั้นหรือ

 

ราวกับระบบสัมผัสได้ถึงความกลัวที่เอ่อล้นท่วมหัวใจของเขา มันเลยแจ้งข้อมูลต่อเนื่อง 『ระบบกู้ข้อมูลและระบบรักษาความปลอดภัยกำลังเร่งมือซ่อมแซมไอดีของท่าน ในฐานะลูกค้า VIP ระบบขอยืนยันว่าจะพยายามสุดความสามารถให้ท่านได้ผูกติดกับตัวละครเสิ่นชิงชิวต่อไป』

 

“จะพยายามสุดความสามารถหรือ” เขาฟังแล้วเผลอรำพึงขึ้นมา เขาอยู่กับระบบนี้นับดูแล้วก็สิบปี นอกจากตอนเถียงกันเอาสนุกไปวันๆ แล้ว ไม่เคยได้ยินอะไรที่ฟังดูเหมือนมนุษย์มากขนาดนี้จากระบบมาก่อนเลย

เขานี่เกิดมาบุญหนักเสียจริง

 

“แปลว่าครั้งนี้คุณไม่ได้มาลงโทษ แต่มาเตือนผมว่าวิญญาณผมติด BUG หรือ?”

『ท่านเข้าใจถูกต้อง』

“แล้วถ้าหากระบบซ่อมแซมไม่สำเร็จล่ะ”

『ระบบขอยืนยันว่าจะพยายามสุดความสามารถ』

“ผมไม่ได้ดูถูกความสามารถของคุณนะ แต่ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ผมจะเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่”

ระบบตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ อย่างน้อยก็ฟังดูจะรู้สึกแบบนั้นในความคิดของเขา 『จากการประมาณการคือหกสิบวัน』

อืม หกสิบวันก็สองเดือน เสิ่นหยวนสูดลมหายใจลึก แย่กว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้ว ไม่ใช่อะไรใหม่สักหน่อย สองเดือนนับว่าปรานีแล้ว

หูเขาแว่วได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆ ความมืดเริ่มเลือนรางจางลง ได้เวลาที่ต้องตื่นแล้ว เขาเอ่ยปาก ไม่รู้ว่าเป็นคำที่เอ่ยในหัวหรือเปล่งเสียงไปจริงๆ กันแน่

“ขอบคุณ”

เสียงสังเคราะห์ที่เริ่มให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนสนิทไปแล้วตอบกลับมา 『ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เราหวังว่าท่านจะมีความสุขตลอดการใช้งาน』

 

เสิ่นชิงชิวตื่นขึ้นมา ข้างนอกเรือนไผ่เขียวมองออกจากหน้าต่างไปก็มืดสนิทแล้ว ในห้องจุดตะเกียงสว่าง แสงทองอาบไล้เครื่องเรือน ข้าวของเครื่องใช้ ทุกเส้นสายที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยเหมือนเป็นบ้าน

ในบ้านของเขา บนเก้าอี้ข้างเตียง ก็คือลั่วปิงเหอที่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้

“ท่านตื่นแล้ว”

 

หลังจากได้รับรู้ความเป็นไปของชะตากรรมตัวเองแล้วลืมตามาพบคนรักที่หล่อเหลางดงามอย่างนี้ทำให้รู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริงอยู่บ้าง เขาจึงยื่นมือออกไปเกาะเกี่ยวปลายนิ้วเข้ากับปลายผมหยักศกของอีกฝ่าย ส่งยิ้มให้ “อืม ข้าตื่นแล้ว”

ลั่วปิงเหอพยุงเขาที่นับวันก็ยิ่งไม่ค่อยมีแรงเพราะเอาแต่นอนหลับให้ลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงดีๆ เอ่ยปากถาม “ซือจุนหิวไหมขอรับ ข้าต้มโจ๊กไว้ให้แล้ว ท่านเจ้าสำนักให้รังนกมา จำได้ว่าท่านเคยทานครั้งที่แล้วชอบมาก ข้าเลยทำให้ท่านไว้อีกเผื่อวันพรุ่งนี้”

ใช้คำว่าเผื่อวันพรุ่งนี้แสดงว่าพอรุ่งสางก็คงจะไปอีกแล้ว เสิ่นชิงชิวลูบลงบนข้อมือที่มีบาดแผลของลั่วปิงเหอ “ครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“แผลนี้เกิดจากโดนหญ้าข่วนเล็กน้อย ชิงชิวอย่าได้ใส่ใจ” ลั่วปิงเหอตาไวหัวไว แค่เห็นสายตาของเขาก็รับรู้ได้ว่าเป็นห่วง ความอบอุ่นหวานล้ำแทรกซ่านในหัวใจ “ปรมาจารย์คนนี้ข้าเคยได้เป็นสหายร่วมดื่มอยู่ไม่กี่ครั้ง ที่แท้แล้วเก่งกาจมาก รู้วิชาปลุกชีพคืนวิญญาณได้ ข้าตระเวนตามหาเขาไปทั่วจึงกลับมาช้า ได้ยินจากคนแถบนั้นว่าตายไปแล้ว แต่ข้ายังไม่อาจถอดใจได้ วันพรุ่งจะออกสืบเสาะหาต่อ”

เล่าจบริมฝีปากฉกกลับมาจุมพิตที่แก้มของเขาแล้วผละออก ลั่วปิงเหอกำลังจะลุกไปหยิบชามอาหารมาให้เขา แต่โดนเสิ่นชิงชิวรั้งแขนเอาไว้

เสิ่นชิงชิวสบตากับดวงตาที่สุกใสราวกับดวงดาราคู่นั้น เขารู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่จะต้องให้โจ๊กรอไปก่อน แต่ถ้าหากไม่พูดยามนี้ เกรงว่าหากผ่านเวลานี้ไปเขาอาจไม่เหลือความกล้ามากพอจะเอ่ยก็ได้

“ซือจุน?”

“วันพรุ่งนี้อย่าไปเลย”

 

ปรมาจารย์คนใดก็ช่างเถอะ ไต้ซือคนไหนก็ช่วยเหลือเขาไม่ได้ ในเมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากผลของการกระทำของตัวเองในอดีต กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ที่ทำได้ก็ทำไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องปล่อยให้เป็นไป ต้องฝากไว้กับระบบแล้ว

 

ตั้งแต่ระบบส่งเขามาให้เกิดใหม่ ไม่นับช่วงที่ระเบิดวิญญาณหนึ่งตูมแล้วเกิดใหม่ในร่างหญ้าน้ำค้างนั่น เขาก็เป็นเสิ่นชิงชิวมาได้สิบเอ็ดปีแล้ว ในช่วงเวลาที่ก้าวผ่านความเหนื่อยยากมาพบกับความสุขหวานล้ำเช่นตอนนี้คงทำให้ลืมเลือนไปหมดแล้วว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย การข้ามสะพานปรภพมานับครั้งไม่ถ้วนไม่ได้ทำให้เขาได้ข้อยกเว้น

เสิ่นชิงชิวเป็นคนง่ายๆ เขาไม่เคยกลับมานั่งคิดพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นไปซ้ำซากให้จมอยู่กับอดีต แต่วันนี้เขากลับนึกถึงวันแรกที่ลืมตาบนเตียงหลังนี้ วันที่เขาได้พบลั่วปิงเหอวัยสิบสี่ที่ฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัว วันที่น้ำตาของเด็กน้อยหยดลงมาเพื่อเขาที่รับหนามพิษแทน วันที่เด็กหนุ่มชักกระบี่เจิ้งหยางท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า แววตาของลั่วปิงเหอวัยสิบเจ็ดที่เขาผลักให้ร่วงหล่นสู่ห้วงอเวจี วันเวลาที่เด็กหนุ่มก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มฉกรรจ์แล้วกลับมาเล่นเกมแมวจับหนูของพวกเขา วันที่เขาผลักให้ลั่วปิงเหออีกครั้งให้ร่วงหล่นลงสู่ความเจ็บปวดรวดร้าวจนต้องฟาดฟันวิญญาณตนเองอยู่ทุกค่ำคืน จากลาอีกครั้งแล้วหมุนเวียนมาพบพานใหม่ ข้ามผ่านอุปสรรค รู้ใจตนเอง ได้ผูกด้ายแดงแลกจอกเหล้าสมรส เคียงคู่กันมาอีกห้าปี

เขาเผลอหัวเราะออกมา ช่วงเวลาที่คืนดีเข้าใจกันแค่ห้าปีเท่านั้นเอง เขาเป็นอะไรกับไอ้เลขห้านี่นักนะ ตอนที่ปล่อยให้ปิงเหอจมกับความรู้สึกผิดนั่นก็ห้าปี ตอนครั้งแรกที่โคตรเจ็บกับลั่วปิงเหอนั่นไอ้หมอนี่ก็อายุยี่สิบห้าไม่ใช่เหรอ

 

“ชิงชิว?!”

เสียงลั่วปิงเหอดังไปหน่อย แถมหวาดหวั่นตกใจจนเสิ่นชิงชิวที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัว เขาเงยหน้ามองอีกฝ่าย “อืม?”

สีหน้าของชายหนุ่มครึ่งมารตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกจนน่าขัน เขารู้สึกว่าตั้งแต่สองสามปีที่ผ่านมาลั่วปิงเหอเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ค่อยได้เห็นทำหน้าเหมือนหมาตกใจแบบนี้มานานแล้ว กำลังจะหัวเราะอีกก็พอดีกับที่ปลายนิ้วหยาบกร้านจากการจับกระบี่แตะที่แก้มเขา “ท่านร้องไห้”

ร้องไห้?

นอกจากเพราะเจ็บทางกายภาพจนน้ำตาเล็ดแล้ว เสิ่นชิงชิวไม่เคยมีน้ำตาให้ใครเห็นเลย คราวนี้มันกลับร่วงผล็อยลงมาให้เห็นง่ายๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่คิดปิดบัง ลั่วปิงเหอเจ็บปวดใจเหมือนอยู่ในเพลิงกัลป์ “ข้าไม่ไปพรุ่งนี้แล้ว จะไปตามหาเสียเดี๋ยวนี้เลย ไม่พบปรมาจารย์ผู้นั้นก็จะหาคนอื่นมา จะต้องมีสักคน ต้องมีสักทางที่ทำให้ท่านหายได้”

“ไม่ต้องไปหรอก” เสิ่นชิงชิวว่า

ลั่วปิงเหอร้อนใจ “แต่ว่า”

“ข้าอยากอยู่กับเจ้าให้นานขึ้นหน่อย สามีให้ข้าไม่ได้เลยหรือ”

 

ไม้ตายเรียกว่าสามีนี่ลั่วปิงเหอพ่ายแพ้มาตลอดตั้งแต่แต่งงานกัน ครั้งนี้ก็ไม่ได้ยกเว้น ชายหนุ่มหายใจเข้าแล้วออกระงับอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ทว่าในดวงตายังดื้อดึงไม่ยอมแพ้ เหมือนในวัยสิบเจ็ดตอนที่จะลุยไปเก็บดอกไม้มาถอนพิษให้เขาไม่มีผิด

เสิ่นชิงชิวเพียงส่งยิ้มให้ ตบลงบนที่นอนข้างตัวเป็นสัญญาณให้ลงมานั่งข้างๆ หลังจากสามีคนดีทำตามสั่งแล้วก็หาพื้นที่พอเหมาะเอนกายพิงอกซ้ายของอีกฝ่าย

ลั่วปิงเหอโอบเขาไว้หลวมๆ ทะนุถนอมดั่งไข่มุกในอุ้งมือ พวกเขาก้าวผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมายจนต่างฝ่ายต่างเดาใจกันได้ไม่น้อยแล้ว “ท่านมีเรื่องอยากเล่าให้ข้าฟังหรือไม่”

ปลายนิ้วเสิ่นชิงชิวลากตามรอยแผลเป็นบนมือแกร่ง “เป็นนิทานเรื่องยาวนัก คงได้เล่าทั้งคืนแน่”

“ข้าย่อมฟังท่านได้ไม่รู้เบื่อ”

เขารู้อยู่แล้วว่าลั่วปิงเหอจะต้องตอบแบบนี้ เสิ่นชิงชิวพยักหน้าตอบ หยาดน้ำตาอีกหนึ่งหยดร่วงหล่นเงียบงัน

 

คืนนั้นเขาเล่าทุกเรื่องให้ลั่วปิงเหอฟังจนหมด

แม้ละเว้นบางส่วนที่ไม่มีประโยชน์ที่จะเล่าออกไปบ้างก็ยังยาวอยู่ดี แต่ในที่สุดหลังการสบตามึนๆ เหมือนหมาเดินชนกำแพง ตอบคำถามยิบย่อยไปหลายประโยค ฟังคำก่นด่าแช่งพ่อแช่งแม่ผู้อื่นไปหลายยก แล้วก็เอ่ยคำซาบซึ้งที่อย่างน้อยทุกอย่างก็นำพวกเขามาลงเอยด้วยกันจนรุ่งสาง เขาก็เล่าจบ

จบที่ไหนอะเหรอ จบที่เขาตัวล่อนจ้อนอยู่บนเตียงเนี่ย เสียตัวอีกแล้ว ไรวะ

นานแล้วที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายตื่น มองดูลั่วปิงเหอที่จนหลับสนิทไปแล้วก็ยังกอดเขาแน่นไม่ปล่อย เขาเกลี่ยผมที่ระบนใบหน้าหล่อเหลาออกช้าๆ พอนึกว่าอาจจะได้อยู่เห็นใบหน้านี้อีกเพียงสองเดือนเท่านั้นก็นึกใจหาย

 

เอาเถอะ สองเดือนที่ยังมีโอกาสอยู่เขาจะไม่ให้มันเสียเปล่าแล้ว หลังจากหลับไปอีกตื่นหนึ่งกินเวลาไปราวสองวัน พอเขาตื่นก็เจอลั่วปิงเหอยิ้มสดใสจากข้างเตียง ประคองเขาลุกขึ้นพาออกเที่ยวไปตามยอดเขาทั้งสิบสองของชางฉยงซาน เพลียเมื่อไหร่อันติ้งเฟิงก็จัดรถม้าไปส่งถึงที่

วันไหนสภาพอากาศไม่เป็นใจจนออกไปไม่ได้ก็มีแขกมาเยี่ยมไม่เว้นวัน ทุกคนพร้อมใจกันโยนสีหน้าเศร้าสร้อยทิ้งกลับมาทำเหมือนเขาไม่ได้ป่วย เหมือนการหลับนานๆ เป็นเรื่องธรรมชาติ แม้แต่หลิ่วชิงเกอกับลูกศิษย์ไป่จั้นเฟิงของเขายังโยนอคติทิ้งแล้วทักทายลั่วปิงเหอฉันมิตรเล่นเอาเสิ่นชิงชิวขนลุกซู่ คนที่อยู่นานที่สุดคือซั่งชิงหัวที่ตอนแรกก็เหมือนจะมาคุยให้หายคิดมาก ไปๆ มาๆ เขากลับได้ฟังหมอนั่นเล่าชีวประวัติตัวเองชาติที่แล้วไปเสียฉิบ แล้วยังมาให้เขาปลอบใจว่าวิญญาณนายไม่หลุดเข้าๆ ออกๆ เพราะงั้นระบบนายมันไม่บั๊กง่ายๆ หรอกน่า เอาจนโม่เกอทนไม่ไหวกระชากหลังคอเสื้อเจ้านั่นตัวลอยกลับไปนั่นแหละ เขาถึงเพิ่งนึกได้ว่าเออ คนที่ควรโดนปลอบจริงๆ คือตูไม่ใช่เหรอฟะ

 

กับลั่วปิงเหอนั้นพวกเขามีเรื่องให้ทำด้วยกันไม่รู้จบเหมือนพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้าย (เอ๊ะ อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้) เขาตามเข้าไปในครัว ขำใส่เจ้าเด็กที่ทำสีหน้าเหมือนสาวน้อยโดนบุกรุกห้องส่วนตัว  ล่องทะเลสาบในชางฉยงซานด้วยกัน ไปนั่งดูลูกศิษย์รุ่นใหม่ของชิงจิ้งเฟิงร่ำเรียนด้วยกัน แล้วก็คุยกัน

แม้จะสนใจโลกเดิมของเขาเป็นพิเศษแต่ชายหนุ่มครึ่งมารก็ไม่สามารถคิดออกว่าอะไรคือตึกคอนกรีต อะไรคืออินเตอร์เน็ต ยิ่งไม่อาจเข้าใจได้ว่าอะไรคือการผ่าตัด (“เจาะปอดท่านงั้นหรือ มันเป็นผู้ใด ไม่ได้ตายดีแน่” “นั่นมันหมอ เขารักษาข้า จะไปแช่งชักหักกระดูกเขาทำไมหา”) เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนกำลังสอนเด็กสามขวบให้รู้จักสิ่งของต่างๆ ผ่านเทปกับหนังสือภาพ ต่างกันก็แค่เด็กสามขวบคนนี้ตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำของเขา ดูรูปกากๆ ที่เขาวาดด้วยท่าทางเหมือนจะซึมซับมันทั้งหมดเข้าไป พอเขาง่วงงุน เด็กสามขวบก็กลายเป็นเบาะโอบกอดเอาไว้ให้หลับไปอย่างอุ่นสบาย

 

เสิ่นชิงชิวยังติดต่อระบบไม่ได้ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย แต่ถ้าติดต่อได้ เขาก็อยากบอกกับระบบว่าเขามีความสุขกับช่วงเวลานี้มากจริงๆ

 

———————————————————————————–

 

 

 

 

4

 

ติ๊ง

 

『ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง เราไม่สามารถกู้คืนไอดีของท่านที่ได้ลงทะเบียนไว้กับตัวละครเสิ่นชิงชิวได้』

 

『ตัวละครเสิ่นชิงชิวจะถูกรีเซ็ทค่าเป็นว่างเปล่า ขอแนะนำให้ท่านเตรียมพร้อมออกจากระบบ』

 

ในที่สุดระบบก็ติดต่อเขากลับมา คราวนี้ไม่ใช่ในความมืดไร้ที่สิ้นสุด แต่เป็นในเรือนไผ่เขียว

 

『ขอโทษด้วย』

 

เสียงติ๊งดังขึ้นในหัวปลุกเสิ่นชิงชิวให้ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ทั้งที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเบาหวิวไปหมด แต่หนังตากลับหนักอึ้งเรียกร้องให้เขาปิดอีกที หลังใบหน้าพร่ามัวของลั่วปิงเหอเต็มไปด้วยเงาร่างหลากสีสันที่เขาไม่อาจมองออกได้ว่าใครเป็นใคร หูแว่วเสียงของใครหลายคนอีรุงตุงนังกันอยู่บริเวณนั้น สลับทั้งเสียงดังทั้งแผ่วเบาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ มีเพียงเสียงที่ใกล้ที่สุดและตราตรึงที่สุดเท่านั้นที่ยังได้ยินชัดเจน

 

“ท่านตื่นแล้ว”

“อืม..” เขาอยากจะตอบว่าข้าตื่นแล้วอย่างทุกที แต่ปากกับลิ้นไม่ค่อยยอมขยับ ช่างมันปะไร เขาได้คุยกับทุกคน ได้ฝากสิ่งที่อยากฝาก ได้ทำอย่างที่พอใจ ไม่มีใครตกค้างอะไรอีกแล้ว

ยกเว้นแค่กับคนผู้หนึ่ง

 

ทั้งที่ใช้เวลามากมายแทบทุกเวลานาทีอยู่ด้วยกัน พอถึงเวลาเข้าจริงกลับมีอีกหลายหมื่นพันล้านคำอยากกล่าวออกไป แต่ร่างกายเขาไม่ฟังคำสั่งเลย

เขามีประสบการณ์เดินผ่านสะพานไน่เหอแล้วยายเมิ่งลืมต้มน้ำแกงให้ทานถึงสองครั้งแล้วแม้จะไม่ได้หวังให้เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้เขาหวังว่ายายเมิ่งจะลืมอีกเป็นครั้งที่สาม ขอให้เขาได้จดจำไปอีกชาติหนึ่ง จะคะนึงหาก็ไม่เป็นไร จะเจ็บปวดไปตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร เพราะเขายังติดค้างลั่วปิงเหออยู่มากมายเหลือเกิน

หากว่าเขาไม่มา ชายตรงหน้าก็จะกลายเป็นลั่วปิงเหอผู้เป็นราชันย์สามภพ อยู่เหนือทุกชีวิต ได้รับการยอมรับสรรเสริญเป็นที่หวาดหวั่นของคนทั่วหล้า มีความสุขอย่างที่ในนิยายว่าไว้

อาจจะไม่มีความสุขมากนักก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนมองเห็นคนสำคัญคนเดิมจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้

 

『ระบบขอยืนยันกับท่าน ค่าความฟินของตัวเอกลั่วปิงเหอตลอดห้าปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แรงค์ SS เหรียญทองอันดับหนึ่ง ท่านทำหน้าที่เป็นตัวละครเสิ่นชิงชิวได้ไร้ที่ติ เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าตลอดกาลของทางเรา』

 

เสิ่นชิงชิวอยากหัวเราะออกมา แม้แต่ระบบยังสรรหาคำปลอบใจเขาจนเผลอให้รางวัลดีที่สุดถึงสามตัวแน่ะ

แต่ตอนนี้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างเขาใช้เพื่อฝืนดึงสติของตนไว้ไม่ให้หลุดลอยออกไป เขารับรู้จากสัมผัสมากกว่าการมองเห็นด้วยดวงตาว่าลั่วปิงเหอกำลังมองเขาอย่างไร รับรู้ได้ว่าใต้ท่าทีสบายๆ มีหัวใจที่หนักอึ้งทุกข์ทนเพียงไร

 

เขาดิ้นรนอยู่ภายใน ที่สุดแล้วก็เปล่งเสียงแหบพร่าออกมาได้

“ปิงเหอ…”

เขาไม่รู้ว่าเสียงนั้นออกมาเป็นคำพูดหรือไม่ แต่เจ้าของชื่อก็กอดกระชับร่างของเขาแน่นขึ้น น้ำเสียงรื่นหูกระซิบอยู่ข้างขมับ “ข้าอยู่นี่”

 

ยิ่งฟังอย่างนั้นหัวใจเขายิ่งบีบรัดอย่างเจ็บปวด เสิ่นชิงชิวเคยใจร้ายทอดทิ้งคนที่เห็นเขาเป็นคนสำคัญไว้แล้วจากไปด้วยความตายมาแล้ว แต่คนเหล่านั้นต่างยังมีคนอื่นโอบอุ้มให้ผ่านความเศร้า มีเป้าหมายให้ก้าวต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องทอดทิ้งคนที่ให้เขาเป็นทั้งชีวิตไว้เบื้องหลัง

ดังนั้น ด้วยความกลัวที่จะต้องปล่อยลั่วปิงเหอไว้ตามลำพัง เขาจึงทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย

“ตามหาข้า”

 

ผูกมัดอีกฝ่ายด้วยคำสัญญาที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะบรรลุผลเมื่อไหร่ ลั่วปิงเหออาจใช้ทั้งอายุขัยที่ยาวนานของมารฟ้าไปกับการเฝ้าคอยตามหาวิญญาณของเขา

ใจหนึ่ง เสิ่นชิงชิวยังภาวนาให้อีกฝ่ายได้มีใครสักคนที่ก้าวเข้ามามีความสำคัญพอๆ กับที่เขาเป็น แต่หากว่าไม่มี ก็นับว่าเขาได้ทำหน้าที่ของตัวร้ายจนจบแล้วจริงๆ

แล้วเขาก็รู้ก่อนที่จะได้ยินเสียอีกว่าคู่ชีวิตจะต้องตอบ

“ได้ ข้าจะตามหาท่านจนพบ”

 

เสิ่นชิงชิวพรั่งพรูลมหายใจออกมา รู้ว่าคนอย่างปิงเหอจะไม่มีวันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเขา เหมือนได้ปลดเงื่อนมัดสุดท้าย เขาฝืนไม่ไหวอีกแล้ว ปากก็พึมพำออกมา “ขอข้าหลับหน่อยนะ”

พูดจบไม่ทันรอคำตอบเปลือกตาทั้งสองข้างก็ปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอรินรดอยู่ข้างแก้มของลั่วปิงเหอที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา

 

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ลมหายใจของเสิ่นชิงชิวหยุดไปอย่างสงบ

 

ลั่วปิงเหอสั่งให้คนของเขาขนโลงน้ำแข็งพันปีมาใช้แทนโลงไม้ ทั้งยังยอมให้สุสานของเสิ่นชิงชิวอยู่ในอาณาเขตของชิงจิ้งเฟิงทำให้เหล่าเซียนที่ยังจำสงครามชิงร่างยาวนานครั้งนั้นได้งุนงงสงสัย ทว่าไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับจอมมารผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายหินอ่อนแกะสลักไม่ยอมลุกไปไหน

เหตุผลนั้นง่ายดาย คราวที่แล้วเขาไม่อาจทำใจได้ ยังเสาะแสวงหาความหวังว่าวิญญาณของอาจารย์ยังคงอยู่ วาดหวังลมแล้งว่าร่างที่หลับใหลจะลืมตายิ้มแย้มให้ได้อีกครั้ง

แต่เวลานี้เขารู้แล้ว ว่าเสิ่นชิงชิวในโลงแก้วไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก ในเมื่อวิญญาณของเขาจากไปคนละโลก คนละยุคสมัยเวลา ไม่อาจหมุนเวียนบรรจบได้แล้ว

 

ผ่านไปถึงสองวันลั่วปิงเหอจึงขยับตัวลุกขึ้น นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายดุจดวงดารายามนี้หม่นแสงทว่าแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวอย่างผู้ที่ตัดสินใจแล้ว

 

การเดินทางของเขาไร้จุดสิ้นสุด แต่มีเป้าหมายแน่วแน่ ราชามารกระชับจี้หยกกวนอิมแนบอก กระซิบคำที่ไม่อาจไปถึงผู้รับได้

“ข้าจะตามหาท่านให้พบ”

 

———————————————————————————–

 

 

 

อยากแต่งพล็อตเดิมๆ ว่าด้วยการหักหลังคนอ่านดูบ้างน่ะค่ะ

ชอบวิธีคิดแบบเสิ่นหยวน คือพอเครียดๆ ทีไรก็เอามุกมาตบผัวะๆ หักล้างกันทุกที (แต่ความจริงคือตัวเองก็เครียดมากนะ เลยไม่อยากให้ใครต้องเครียดตามด้วยเฉยๆ) มันเลยจะตลกไปหน่อย ขออภัยด้วยถ้าคิลมู้ดมากจนไม่สนุกนะคะ ไม่ได้แต่งฟิคมานานแล้ว มือฝืด ฮือ

จะอ่านแล้วคิดว่าจบในตอนนี้ก็ได้ค่ะ …เพราะที่คิดว่าอยากแต่งต่อนี่ก้อออไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แต่ง แง ขอบคุณค่ะ

ข้อความนี้ถูกเขียนใน อื่นๆ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

มาสิจ๊ะมามะ ♥